วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การละคร

วิชาเอกของฉันคือนาฏศิลป์ไทย(ละครพระ) ฉันจึงยิบยกประเภทต่างๆของละครมาเพราะบ้างคนกรอาจไม่เข้าใจในด้านทฤษฏี เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าละครหมายถึงอะไร    ละครเป็นแสดงประเภทหนึ่งซึ่งแสดงเรื่องราวความเป็นไปของชีวิตที่ปรากฏในวรรณกรรม  มีศิลปะการแสดงและดนตรีเป็นสื่อสำคัญ ละคร  ตามความหมายนี้หมายถึงละครรำ เพราะว่าเป็นการแสดงออกทางความคิดโดยมุ่งเน้นถึงลักษณะท่าทางอิริยาบถในขณะเคลื่อนไหวตัวในระหว่างการรำ 
          ละครไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น  4  ประเภท ดังนี้
1. ละครรำ คือละครที่ใช้ศิลปะการร่ายรำในการดำเนินเรื่อง  แบ่งได้เป็น 2 ประเภท
                1.1  ละครรำแบบมาตรฐานดั้งเดิม มี 3 ชนิด คือ
                                -  ละครชาตรี
                                -  ละครนอก
                                -  ละครใน
                1.2  ละครที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ มี 3 ชนิด คือ
                                -  ละครดึกดำบรรพ์
                                -  ละครพันทาง
                                -  ละครเสภา
2. ละครร้อง  คือละครที่ใช้ศิลปะการร้องดำเนินเรื่อง เป็นละครแบบใหม่ที่ได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตก  แบ่งได้เป็น  2  ประเภท คือ
          2.1  ละครร้องล้วน ๆ
                2.2  ละครร้องสลับพูด
3. ละครพูด  คือละครที่ใช้ศิลปะการพูดในการดำเนินเรื่อง  เป็นละครแบบใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก  แบ่งได้เป็น 2  ประเภท คือ
                3.1  ละครพูดล้วน ๆ
                3.2  ละครพูดสลับรำ
4. ละครสังคีต  เป็นละครที่ใช้ศิลปะการพูดและการร้องดำเนินเรื่องเสมอกัน

                นอกจากนั้นยังมีการแสดงที่เกิดขึ้นใหม่ในสมัย รัชกาลที่ 5 อีก 2 อย่างคือ ลิเก และหุ่น ( หุ่นเล็ก , หุ่นกระบอก , หุ่นละครเล็ก)
  

                ละครนอก
                ละครนอก  มีการดำเนินท้องเรื่องที่รวดเร็ว  กระชับ  สนุก   การแสดงมีชีวิตชีวา  ส่วนมากใช้ผู้ชายแสดง  และมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา  เข้าใจว่าละครนอกมีวิวัฒนาการมาจากละครชาตรี เพราะมุ่งที่จะให้คนดูเกิดความขบขัน  ผู้แสดงละครนอกแต่เดิมมีผู้แสดงอยู่เพียง 2-3 คน  เช่นเดียวกับละครชาตรี  ละครนอกไม่คำนึงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับยศศักดิ์และฐานะของตัวละครแต่อย่างใด  ตัวละครที่เป็นท้าวพระยามหากษัตริย์ก็สามารถโต้ตอบตลกกับเสนากำนัลหรือไพร่พลได้ ละครนอกที่นิยมเล่นได้แก่เรื่อง สังข์ทอง  ไกรทอง  สุวรรณหงส์  พระอภัยมณี  เป็นต้น


                ละครใน
                จากรูปแบบของละครนอกที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็นตัวละครในวัง  ผู้แสดงหญิงล้วน  แบบอย่างละครในนี้ได้สงวนไว้เฉพาะในวังหลวงเท่านั้น  เพราะว่าผู้ชายนั้นจะถูกห้ามให้เข้าไปในพระราชฐานชั้นใน  บริเวณตำหนักของพระมหากษัตริย์  ซึ่งจะประกอบไปด้วยดนตรีที่มีเสียงไพเราะอ่อนหวาน  ใช้บทร้อยกรองได้อย่างวิจิตรบรรจง  ทั้งดนตรีที่นำมาผสมผสานอย่างไพเราะ  รวมทั้งจะมีท่าทางสง่างาม  ไม่มีการสอดแทรกหยาบโลนหรือตลก  และอนุรักษ์วัฒนธรรมและคุณลักษณะที่เป็นประเพณีสืบทอดกันมา
                เรื่องที่ใช้แสดงละครในนั้นมีอยู่ 4 เรื่อง ได้แก่  รามเกียรติ์  อุณรุท  อิเหนา  และดาหลัง  เข้าใจกันว่าละครในสมัยเริ่มแรกเล่นกันแต่เรื่องรามเกียรติ์ และอุณรุทเท่านั้น  เพราะถือว่าเป็นเรื่องเกียวกับนารายณ์อวตาร  ใช้สำหรับเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์  ผู้อื่นจึงไม่สามารถนำไปเล่นได้  ต่อมาละครในไม่ค่อยได้เล่น 2 เรื่องนี้ เหลือแต่โขนและหนังใหญ่ที่เล่นเรื่องรามเกียรติ์  ส่วนเรื่องดาหลังไม่ค่อยนิยมแสดงนัก  เพราะชื่อตัวละครเรียกยาก  จำยาก  เนื้อเรื่องก็สับสนไม่สนุกสนานเท่าเรื่องอิเหนา  ต่อมาพวกละครนอกและลิเกจึงนำไปแสดงบ้าง  ดังนั้นในสมัยรัตนโกสินทร์  นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องอิเหนาขึ้นใหม่  ละครในจึงนิยมแสดงอยู่เพียงเรื่องเดียวนาน ๆ จึงจะมีผู้จัดแสดงเรื่องรามเกียรติ์และอุณรุทสักครั้งหนึ่ง
                บทละครในเป็นกลอนบทละครที่ผู้แต่งใช้ความประณีตบรรจงในการเลือกเฟ้นถ้อยคำมาร้อยกรองอย่างไพเราะและมีความหมายดี  เพื่ออวดฝีมือในการแต่งแต่งด้วย  ทั้งนี้เนื่องจากละครในเล่นกันอยู่ไม่กี่ตอน  คนดูมักรู้เรื่องดีอยู่แล้ว  ผู้แต่งจึงมุ่งพรรณนาเนื้อความในรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน  ดังจะเห็นได้จากบทชมธรรมชาติ ชมพาหนะ  ชมเครื่องแต่งตัว  บทพรรณนาความรู้สึก  ซึ่งปรากฏอยู่ตลอดเรื่อง  บทละครในที่แต่งได้ดีเยี่ยมได้แก่เรื่องนามเกียรติ์และอิเหนา  ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
                การแสดงละครในมุ่งที่ความประณีตสวยงามเป็นหลัก  ทั้งศิลปะการรำที่มีลีลาท่าทางงดงาม  นุ่มนวล  เครื่องแต่งกายสวยประณีต  ดนตรีและเพลงที่ไพเราะ  ผู้ชมละครในไม่มุ่งความสนุกสนานตื่นเต้นเหมือนดูละครนอก  แต่จะมุ่งดูศิลปะการร่ายรำ  ลีลาท่าทางที่ประณีตงดงามและเพลงที่ไพเราะมากกว่าละครในที่นิยมกันมากที่สุด คือ อิเหนา

                ละครเสภา
                ละครเสภา คือละครที่มีลักษณะการแสดงคล้ายละครนอก  รวมทั้งเพลงร้องนำ  ทำนองดนตรี  และการแต่งกายของตัวละคร  แต่มีข้อบังคับอยู่อย่างหนึ่งคือต้องมีขับเสภาแทรกอยู่ด้วยจึงจะเป็นละครเสภา
                ก่อนที่จะเกิดละครเสภาขึ้นนั้น  เข้าใจว่าจะมีการขับเสภาเป็นเรื่องราวก่อน  เรื่องที่นาขับเสภาและนิยมกันอย่างแพร่หลายคือ  เรื่องขุนช้างขุนแผน  การขับเสภาตั้งแต่โบราณนั้นไม่มีเครื่องดนตรีชนิดใดประกอบ  นอกจากกรับที่ผู้ขับขยับประกอบแทรกในทำนองขับของตนเท่านั้น  ครั้นเวลาต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  ซึ่งทรงโปรดสดับการขับเสภาได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดวงปี่พาทย์เข้าประกอบเป็นอุปกรณ์ขับเสภา  โดยให้แทรกเพลงร้องส่งให้ปี่พาทย์รับและบรรเลงเพลงหน้าพาทย์เหมือนอย่างการแสดงละครนอก  ตอนใดดำเนินเรื่องก็ขับเสภา  ตอนใดเป็นถ้อยคำรำพันหรือข้อความอื่นที่ควรแก่การร้องส่งก็ร้อง  จะเป็นเพลงช้าปี่หรือโอ้ปี่อย่างละครนอกก็ได้  ตอนใดเป็นบทไปมาหรือรบกัน  ปี่พาทย์ก็บรรเลงเพลงเชิดประกอบ  ต่อมาได้วิวัฒนาการให้มีผู้แสดงออกมาแสดงตามบทเสภาและบทร้อง  ครั้งแรกก็อาจจะเป็นเพียงตอนใดตอนหนึ่ง  ครั้นต่อมาก็เลยปรับปรุงให้เป็นการแสดงทั้งหมด  และเรียกการแสดงนี้ว่า “เสภา
                ละครเสภาที่นิยมเล่นกันมาก คือ ขุนช้างขุนแผน ตอนพลายเพชรพลายบัวออกศึก ,พระวัยแตกทัพ ,ขุนแผนเข้าห้องนางแก้วกิริยา เป็นต้น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น